เทศน์พระ

แรงลม

๒๙ เม.ย. ๒๕๕๗

 

แรงลม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจเนาะ อากาศจะร้อนเพราะว่าเข้าหน้าร้อน อากาศจะร้อนแต่หัวใจให้ร่มเย็น เพราะเรามาแสวงหาหัวใจของเรานะ สิ่งที่เป็นนามธรรมคือความรู้สึก สิ่งที่อากาศเห็นไหม แม้แต่อากาศมันจะละเอียดขนาดที่ว่าเราเห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้ แต่เวลาลมมันพัด เราเห็นการเคลื่อนไหวของมันได้ เวลามันพัดขึ้นมามันมีการเคลื่อนไหวของมัน มีสิ่งใดที่มันพัดผ่านไป

ธงไหวหรือลมพัดไหว สิ่งต่างๆ เห็นไหม ใบไม้มันไหว มันไหวเพราะสิ่งที่ลมมันพัดไป ถ้าลมมันแรงมันพัดกระโชกสิ่งใด เราจะเห็นความโหดร้ายของมัน แต่ถ้าลมมันพอประมาณของมัน มันจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เราต้องการสิ่งแวดล้อมที่สมดุล ถ้าสิ่งแวดล้อมที่สมดุลคนนั้นจะมีความสุข

แต่สิ่งแวดล้อมมันเป็นพิษ เห็นไหม คนนั้นแม้แต่ขาดชีวิต ชีวิตนี้อาจจะสูญสิ้นไปได้เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ นี่เหมือนกัน เราพยายามจะแสวงหานะ เราต้องมีสติมีปัญญา คนเราแสวงหาทางโลกเขาต้องมีสติปัญญาของเขา เขาถึงมีหน้าที่การงานของเขา ประสบความสำเร็จของเขา นั่นหน้าที่การงานทางโลก หน้าที่ทางโลก

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก อย่าพูดเรื่องโลกๆ ให้พูดเรื่องธรรมะๆ ธรรมะมันก็อิงกับโลกไง เพราะสิ่งที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้ เราเห็นมันเป็นเรื่องของโลก สิ่งที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมคือสิ่งนั้นเป็นนามธรรม เป็นนามธรรม เห็นไหม มีความสุขมีความทุกข์ในหัวใจ ถ้ามีความสุขความทุกข์ในหัวใจ ถ้าคนจิตใจดี เราจะเป็นคนดีทางสังคมนะ ถ้าเป็นคนดี คนดีไปอยู่ที่ไหนคนก็ต้องการต้องปรารถนา แต่ถ้าเป็นคนชั่วล่ะ คนชั่วคนทำลายคน ทุกคนเขาไม่ปรารถนาทั้งนั้นเลย เขาไม่ปรารถนาเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้น สิ่งที่เป็นคนพาล คนพาลอยู่ที่ไหนสังคมนั้นมันจะมีความวุ่นวายไปหมด เห็นไหม นี่คนพาลมันเกิดจากสิ่งใดล่ะ? มันเกิดจากกิเลสในหัวใจไง มันเกิดจากสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันควบคุมไม่ได้ มันมีสิ่งเร้า มันขับดันออกมา ขับดันออกมานี่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เห็นไหม กุศล อกุศล

กุศลคือคุณงามความดี อกุศลคือความโหดร้ายทารุณในหัวใจของเรา มันโหดร้ายทารุณในหัวใจของเรา เห็นไหม เบียดเบียนตนขึ้นมาก่อน เบียดเบียนหัวใจของเราแล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น เพราะมันเบียดเบียนหัวใจของเราเราก็รู้ว่าไม่ดี เราก็รู้ว่ามันไม่ดี มันเป็นสิ่งที่คนรังเกียจ แต่ทำไมมันอยู่ในหัวใจของเรา ถ้าอยู่ในหัวใจของเราแล้วเวลามันครอบงำหัวใจของเรา เห็นไหม เรามีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเราก็จะบังคับให้คนอื่นยอมรับความรู้สึกของเรา ยอมรับอำนาจของเรา ยอมรับสิ่งที่เป็นกิเลสของเรา มันเป็นความไม่ดีในหัวใจเรา เราก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่มันครอบงำใจเราแล้ว ทำไมเวลาแสดงออกมันต้องให้คนอื่นเขายอมรับ มันยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เห็นไหม มันเบียดเบียนตนแล้วก็เบียดเบียนผู้อื่นไง มันเบียดเบียนตน เบียดเบียนหัวใจของเราน่ะ มันเบียดเบียนหัวใจของเราแล้วก็เบียดเบียนคนอื่นไป ถ้าเบียดเบียนคนอื่นไป เห็นไหม มันสร้างแต่เวรแต่กรรมทั้งนั้นนะ

ฉะนั้น ถ้าอากาศมันร้อน ทุกอย่างสภาวะแวดล้อมมันเร่าร้อน เห็นไหม เวลาพระธุดงค์ไป เขาธุดงค์ไป เขาแสวงหาไป ที่ไหนร่มเย็นก็อาศัยที่นั้นพักชั่วคราว แล้วพอมันคุ้นชินพื้นที่ เขาก็จะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเพื่อหาที่เราไม่คุ้นชินกับมัน ถ้าไม่คุ้นชินกับมัน เห็นไหม เราไปคุ้นชิน เราไปชินชาหน้าด้าน พอชินชาหน้าด้านมันเคยชิน มันก็นอนใจ พอนอนใจขึ้นมา นอนใจมันก็ทางกิเลสไง กิเลสมันต้องการอย่างนั้นน่ะ มันต้องการให้เรารู้ไม่เท่ามัน ต้องการให้เรายอมจำนนกับมัน ต้องการให้เรายอมรับอำนาจของมัน แล้วมันก็ข่มขี่ในหัวใจของเรา แต่ถ้าเราไม่คุ้นชิน มันตื่นตัวตลอดเวลา พอตื่นตัวตลอดเวลา เห็นไหม เราเปลี่ยนที่ไปมันตื่นตัวตลอดเวลา พอมันตื่นตัวขึ้นมามันมีสติ เพราะคนตื่นตัวมันระวังภัย เหมือนสัตว์มันระวังภัยมันก็รักษาชีวิตมันรอด สัตว์ที่มันนอนใจ มันไม่ระวังภัย มันเป็นเหยื่อของนักล่าทั้งนั้นน่ะ

ถ้าเราตื่นตัวขึ้นมา ตื่นตัวขึ้นมาเพื่อมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญา สภาวะแวดล้อมที่เลวร้าย เวลามันแห้งแล้งกลางทะเลทราย เห็นไหม กลางวันร้อนร้อนเต็มที่เลย เวลากลางคืนนี่หนาวสุดๆ เลย เห็นไหม มันสุดขั้ว อุณหภูมิมันสุดขั้วไปเลย เพราะมันเป็นทะเลทราย มันไม่มีสิ่งใดที่คอยซึมซับให้บรรยากาศมันเบาลง เวลาลมมันแรงมันพัดมา ลมร้อนเวลาเกิดความแห้งแล้งมันพัดมา มันมีแต่อากาศร้อน มันทำลายไปหมด

ลมมันพัดสิ่งที่ความแห้งแล้ง เวลาลมมันพัดนะ เวลาเกิดพายุ เกิดพายุมันพัดมานี่มันมีพายุฝน ลมรุนแรง เห็นไหม มันพัดมามันก็ทำลายเหมือนกัน เวลามันทำลายเหมือนกัน แต่การเกษตรกรรม มีน้ำมีท่าที่ไหนมันก็มีชีวิต ถ้ามันมีแหล่งน้ำขึ้นมา มันมีที่ทำการเกษตรกรรม เราก็มีอาหารการกิน เราก็มีปัจจัยเครื่องอาศัย มันก็มีสังคม มันก็มีชุมชนขึ้นมาที่นั้น

ที่ใดมีแหล่งน้ำที่นั้นมีชุมชนนะ นี่ถ้าแหล่งน้ำ เห็นไหม แต่เวลาลมมันพัด ลมมันพัดในแหล่งน้ำมามันให้แต่ความร่มเย็น มันมีความเย็น มันมีความอบอุ่นมีความสุขของมัน เวลาลมมันพัดมาจากกลางแห้งแล้ง เห็นไหม เวลาภัยพิบัติขึ้นมา มันพัดมารุนแรงทั้งนั้น นั่นลม เห็นไหม ลมมันพัด ลมแรง แรงลม

ต้นหญ้าที่มันอ่อนไหว ลมพัดมามันลู่ไปตามลมนั้น แล้วพอเวลาลมพัดไปแล้วฝนตกขึ้นมามันเกิดใหม่ได้ ต้นไม้ใหญ่เวลาลมรุนแรงขึ้นมามันโค่นล้มขึ้นมา มันเสียหายเหมือนกัน นี่เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง เวลาความคิดที่ดีๆ นี่ลมที่พัดมานี่สภาวะแวดล้อมที่ดี เห็นไหม มันให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับเรานะ เวลาลมมันพัดมามีแต่ความแห้งแล้งขึ้นมา เห็นไหม

เวลาอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา มันมีแต่ความรุ่มร้อนๆ เราจะไปโทษใครไม่ได้เลย เวลาเราจะโทษสภาวะแวดล้อม จะโทษหมู่คณะ โทษคนอื่นว่าทำให้เรามีความทุกข์ความยาก ทำให้เราขาดตกบกพร่อง เราจะโทษคนอื่นทั้งนั้นน่ะ แต่เราไม่โทษหัวใจของเราไง นี่เราไม่โทษกิเลสของเรา ไม่โทษความรู้สึกนึกคิดภายในหัวใจของเรา ความรู้สึกนึกคิดในหัวใจของเรานี่ร้ายกาจนัก ความรู้สึกนึกคิดของเรา เห็นไหม เวลามันคิดที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆ คิดในเรื่องดีๆ คิดแต่ความดีๆ มันก็มีความสุขของมัน แล้วมันอยู่กับเราเนิ่นนานไหม

ดูสิ ภัยพิบัติ คนทำไร่ทำนาของเขา เขาได้ผ่านวิกฤตมามากนะ เวลาน้ำท่วมนาก็ล่ม เวลาภัยแล้งขึ้นมานี่ข้าวปลาอาหารเสียหายหมด แล้วเขาผ่านวิกฤตอย่างนี่มาซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งชีวิตของเขา เขาแก้ไขอย่างไร เขาแก้วิกฤตการมีชีวิตของเขาอย่างไร เวลานาล่มขึ้นมาเขาไม่มีข้าวจะกิน เห็นไหม ในเมื่อข้าวปลูกข้าวพันธุ์เขาปลูกลงไปแล้ว แล้วข้าวมันล่มขึ้นมาเราเก็บเกี่ยวไม่ได้ เราจะเอาอาหารที่ไหนเอามาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ดำรงชีวิต นี่เวลานามันแล้ง เห็นไหม ปลูกไปมันลีบมันตายหมด มันไม่มีคุณงามความดี ไม่เกิดเป็นเม็ดข้าวขึ้นมาให้เราได้เก็บเกี่ยวเลย

ลมพัด เห็นไหม มีทั้งความดีและความชั่วในหัวใจของเรา มันพัดสั่นไหวในหัวใจของเราตลอดเวลา ถ้าในหัวใจของเรามันโดนกิเลสตัณหาของเรามันพัดกระโชกให้หัวใจของเราลุ่มหลงให้หัวใจของเรามีแต่ความทุกข์ความยากบีบคั้นใจเราตลอดเวลา เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยในกิเลส

มนุษย์คนๆ หนึ่งถ้าเป็นบัณฑิตเป็นคนดี อยู่ในสังคม สังคมต้องการคนอย่างนั้น สังคมนี่คนดีๆ สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข มันก็เป็นความร่มเย็นเป็นสุขของโลกๆ เขา ถ้าคนที่ลืมตัวขึ้นไปก็คิดว่าชีวิตนี้มีความสุข ชีวิตนี้มีความดีงามพออยู่แล้ว เราจะต้องไปทำสิ่งใดอีก ชีวิตเราก็ราบรื่นอยู่แล้ว ชีวิตเรามีปัจจัยเครื่องอาศัยสมบูรณ์อยู่แล้ว เป็นคนดีอยู่แล้ว นี่มันดีเรื่องโลกไง เวลาคนชั่วๆ มันก็ทำลายไปทั้งหมด สังคมร่มเย็นเป็นสุขนี่ทำให้มันแตกแยกซะ ทรัพย์สมบัติของใครก็หยิบฉวยเอาของเขาโดยที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีศีลมีธรรมขึ้นมา ทำลายเขามีแต่ความเดือดร้อนไปหมดเลย

ถ้าเป็นบุคคล เป็นสังคม มันก็เป็นเรื่องสังคมของโลก เราเกิดกับโลกนะ เราจะปฏิเสธโลกไม่ได้ แต่ถ้าเรามองโลกโดยสติปัญญาเราเห็นอย่างนั้นปั๊บ นี่เป็นเรื่องของโลก แล้วเรื่องของธรรมล่ะ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชนั่นไง สิ่งที่มาบวช บวชนี่ถ้าบวชเป็นประเพณีก็มาศึกษาธรรมะให้จิตใจมีศีลธรรมจริยธรรมครองใจของเรา สึกออกไปแล้วนี่สิ่งที่ว่าคนดิบๆ เราเกิดเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเราก็ได้บวชเรียนแล้ว เราได้เป็นพระเป็นเจ้ามาแล้ว แล้วเวลาสึกออกไป เราจะเอาสิ่งนั้นไหม

สึกออกไป ดูสิ เราบวชมานี่บวชเป็นพระกรรมฐาน ถือธุดงควัตร ฉันข้าววันละหนึ่งมื้อเท่านั้น ปัจจัยเครื่องอาศัยก็ใช้อาศัยอย่างนี้ ถ้าใช้อย่างนี้ ถ้าออกไปเป็นฆราวาส ถ้าเรารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ขึ้นมา เราไม่ฟุ่มเฟือยไปกับเขา ชีวิตมันก็อยู่ได้อย่างนี้ไง แต่ถ้ามันขาดสติขึ้นไปมันก็ไปกับโลกเขา มันก็ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไปกับเขา นี่บวชเป็นประเพณี บวชมาเพื่อศึกษา

แต่คนที่บวชมาด้วยจิตใจทุ่มเท เห็นไหม เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะทุกข์ยากนัก โลกเขาเป็นกันอยู่อย่างนี้ ใครจะมีความมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ชีวิตนี้ก็ต้องสิ้นสุดไปเป็นธรรมดา นี่สิ่งที่สิ้นสุดไป เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ถ้ามีสติปัญญา เราแสวงหาทรัพย์ ทรัพย์ความเป็นจริงเป็นอริยทรัพย์ สมบัติที่ติดไปกับใจไม่ใช่สมบัติทางบัญชีทางโลก เห็นไหม ขาดทุนทางบัญชี ไม่ได้ขาดทุนทางตัวเงินไง

คนที่มีอาชีพทางบัญชีเขาบวกลบคูณหาร เขาทุจริตขึ้นมา เขาได้ผลประโยชน์จากทางบัญชีนั้น แต่ขาดทุนกำไรทางบัญชีไง นี่ก็เหมือนกัน ขาดทุนกำไรโดยการยึดมั่นถือมั่น โดยความเห็นของโลกไง นี่ก็เหมือนกัน แสวงหาสิ่งนั้นมา สมบัติสาธารณะไง มั่งมีศรีสุขแสวงหามามากมายเลย เป็นขี้ข้ามัน เป็นผู้ดูแลมัน ถ้าแสวงหามาแล้วไม่ประสบความสำเร็จเราก็เป็นคนทุกข์คนยากไง นี่มันผลของวัฏฏะ

แต่ถ้ามีสติมีปัญญานะ ทุคตะเข็ญใจมาบวชเป็นพระ เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เห็นไหม เวลาจะบวชจะไปบวชกับใครๆ ก็ไม่ให้บวชให้ เพราะเป็นคนทุกข์คนยาก คนไม่มีทรัพย์สมบัติ คนไม่มีชื่อเสียงเกียรติคุณ ไม่มีใครต้องการเลย ไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามท่ามกลางสงฆ์ว่า “ทุคตะเข็ญใจมีคุณกับใครบ้าง ใครรู้จักคุณของทุคตะเข็ญใจนี้” พระสารีบุตรยกมือขึ้นเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่า “ทุคตะเข็ญใจเขามีบุญคุณอะไรกับเธอ”

“เคยตักบาตรข้าพเจ้า ๑ ทัพพีครับ” เขาทุกข์จนเข็ญใจ เขามีแค่ข้าวสุก ๑ ทัพพีเท่านั้นน่ะ เคยตักบาตรพระสารีบุตร พระสารีบุตรคิดถึงคุณของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “พระสารีบุตร งั้นถ้ามีคุณกับเธอ เอาบวชซะ” เอาผู้เฒ่านั้นบวช ภิกษุบวชเมื่อแก่เป็นผู้ที่ว่ายากสอนยาก ภิกษุบวชเมื่อเฒ่าเพราะเขาผ่านโลกมามากไง

ฉะนั้น เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “สารีบุตร สัทธิวิหาริกเธอสอนง่ายอยู่หรือ”

“ง่ายครับ ง่ายครับ” นี่สอนจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ไป เห็นไหม นี่ทุคตะเข็ญใจ เวลาบวชมาทุคตะเข็ญใจบวชมาในพุทธศาสนาบวชมาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็มี กษัตริย์ เศรษฐีกุฎุมพีบวชมาในพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็มี

กษัตริย์มาบวช พระภัททิยะ เห็นไหม สุขหนอ..สุขหนอ..เป็นกษัตริย์ทำไมมันไม่สุขเท่ากับการบวชเป็นพระแล้วสิ้นสุดแห่งทุกข์ล่ะ มีความสุขหนอๆ จนพระเขาอิจฉา พระเขาเพ่งโทษหาว่านี่เขาสุขหนอๆ คงคิดถึงความเป็นกษัตริย์ ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิมนต์มาแล้วถามว่า

“เธอพูดอย่างนั้นจริงหรือ”

“จริงครับ”

“ทำไมเธอพูดอย่างนั้น”

“ก็เป็นเรื่องจริงครับ”

“ทำไมถึงเรื่องจริง เธอเป็นกษัตริย์ไม่มีความสุขหรือ”

“จะมีความสุขได้อย่างไร ความรับผิดชอบมหาศาล ต้องดูแลเขา ต้องรับผิดชอบ มันมีแต่ความวิตกกังวลไปหมดเลย”

แล้วนี่มาบวชแล้ว ประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วเห็นไหม อยู่โคนไม้ก็มีความสุข ปัจจัยเครื่องอาศัยไม่มีเลยก็มีความสุข ไม่ต้องการมีสิ่งใดเลยก็มีความสุข มันมีแต่ความสุขไปหมดเลย

เห็นไหม เพราะลมไม่กระโชก ลมมันไม่พัดรุนแรง ลมที่มันรุนแรงมันพัดหัวใจสั่นไหวไปหมดเลย แต่ด้วยอริยทรัพย์ ด้วยอริยสัจ ด้วยสัจจะความจริง ด้วยมรรคญาณ ด้วยการพิจารณาในหัวใจของเรา ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าลมมันพัดรุนแรงเกินไปนักทำให้หัวใจเราฟูขึ้นมา ทำให้ใจเรายุบยอบลงมา แล้วเวลากระทบกระเทือน จิตใจมันดีมองสิ่งใดก็มองไปด้วยคุณงามความดีไปหมด เขาทำสิ่งใดก็เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาทำสิ่งใดนี่มันให้อภัยไปหมดเลย

จิตใจถ้าเวลามันเสื่อม จิตใจมันฟุ้งซ่าน มันขวางหูขวางตาไปหมดเลย คนนู้นก็แกล้งเรา คนนี้ก็ขัดขวางเรา คนโน้นก็นินทาเรา มันวุ่นวายไปหมดน่ะ โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่มันมีของมันอยู่อย่างนั้น นินทากาเลมันมีของมันอยู่อย่างนั้น ถ้ามันมีสติมีปัญญา เห็นไหม มันมีสติปัญญามันผ่อนแรงลมไง ลมพัดมาเราก็มีที่หลบที่บังของเรา มันก็ไม่มีสิ่งใดพัดให้จิตใจมันหวั่นไหว ถ้าจิตใจเราเสื่อมสภาพลงมา พอเจอสิ่งใดมันกระทบขึ้นมามันหวั่นไหวไปหมด นู่นเป็นอย่างนู้น ไม่มีสิ่งใดดีสักอย่างเลย เราไปโทษแต่สภาวะแวดล้อม เห็นไหม เวลาลมพัดที่รุนแรงขึ้นมาเราก็ตั้งสติของเรา มีคำบริกรรมของเรา

ดูสิ ดูหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเวลาลมรุนแรงมันไหว มันเอนลู่ไปตามลม ลมผ่านไปแล้วมันก็กลับมาชูช่อเหมือนเดิม ลมมันก็ผ่านไปแล้ว เวลาฝนตกมามีความรุนแรงมานี่มันให้ความชุ่มชื่นมามันพัดสั่นไหวไป พอมันผ่านไปแล้ว มันได้ความชุ่มชื่นมันก็ยืนของมันชูช่อของมันเป็นปกติของมัน นี่ก็เหมือนกัน เรามีสติมีปัญญาของเรา เห็นไหม มันเป็นของธรรมดา มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ถ้าจิตใจดีมันจะเห็นสภาพแบบนี้ ถ้าจิตใจมันต่ำ จิตใจเวลามันเสื่อมค่า จิตใจเวลามันทุกข์มันยาก มันแบกหาม มันทุกข์ไปหมดเลย มันทุกข์ไปหมดเลย เห็นไหม

เราเป็นภิกษุนะ เป็นนักรบ แล้วเวลารบมันจะรบกับใคร เวลาเขารบกันเขามีกองทัพ เขามีข้าศึก เขาประหัตประหารกัน ปะทะกันด้วยกองทัพ ด้วยกลยุทธ์ ด้วยกลวิธี แต่นักรบอย่างเรานักรบอะไร? นักรบในหัวใจของเราไง นักรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง นักรบกับสิ่งที่มันพาให้เราเกิดให้เราตายอยู่นี่ไง

เวลามาเกิดอะไรพามาเกิด อวิชชาพามาเกิด นี่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้มาบวชเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสด้วย ได้บวชมาเป็นบุตรของชาวศากยะ เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะรบกับใครล่ะ เราจะรบกับใคร เห็นไหม เวลารบหลวงตาท่านบอกว่า จะสู้เสือด้วยมือเปล่าเหรอ จะสู้เสือก็ฝึกหัดสติ สติมันเป็นอย่างไร สติก็เป็น ส.เสือ ต.เต่า สระอิ สติก็เป็นสติอย่างนั้น สติมันเป็นอย่างไรนี่วิตกวิจารณ์ คาดการณ์ว่าสติเป็นอย่างไร สติก็ระลึกรู้ไง สติมันก็ยับยั้งตัวเรานี่ไง สติมันฟื้นมามันก็ไม่หวั่นไหวไปไหนไง สิ่งใดที่มันมีอยู่มันมีอยู่อย่างนั้น

โลกเรามีอยู่อย่างนี้ โลกเราเจริญแล้วเสื่อม เวลายุคที่เจริญ สมัยอยุธยาทุกคนบอกว่าถ้าอยุธยาของเราไม่โดนเผานะ เมืองหลวงอยุธยามันคงจะสวยงาม จนป่านนี้นะมันจะเป็นทองคำเหลืองอล่ามไปหมดเลย เห็นไหม นี่ยุคของเรามันเจริญไง เวลามันเจริญเราก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นไง นี่เราไปคิดไปดูของเรา อยากให้มันคงที่ของมันอยู่อย่างนั้น

แต่เวลาจิตใจของเรามันเจริญแล้วเสื่อมล่ะ ถ้ามันเจริญขึ้นมามันจะเจริญอย่างไร ถ้าเวลามันเสื่อม มันเสื่อมก็สั่นไหวของมันอยู่ในหัวใจ ถ้ามันเสื่อมอยู่ในหัวใจ เราตั้งสติของเรา เอาปัจจุบันนี้ อยุธยามันก็ล่มไปแล้ว สิ่งนี้มันก็เป็นเมืองใหม่ ยุคคราวกาลเวลามันเปลี่ยนไป จิตใจของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อวิชชาพาเวียนว่ายตายเกิดมาจนปัจจุบันนี้

ปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราได้บวชได้เรียนมา บวชเรียนมาเพื่อจะเป็นนักรบ ถ้าเป็นนักรบนี่ตั้งสติขึ้นมา ตั้งสติมันขึ้นมา เห็นไหม กำหนดพุทโธได้ ถ้าจิตมันเริ่มสงบ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ จิตมันตั้งมั่น เห็นไหม คำว่า “จิตตั้งมั่น” จิตตั้งมั่นมันก็พ้นจากแรงไง แรงสั่นไหวของรูปรสกลิ่นเสียง บ่วงของมาร พวงดอกไม้แห่งมาร เรามีอยู่แล้ว บ่วงของมาร เห็นไหม มันทั้งล่อ บ่วง ดูสิบ่วงที่เขาดักสัตว์ เขาล่อเข้ามา สัตว์มันไม่รอบคอบมันไปติดแร้วติดต่างๆ ชีวิตมันสูญสิ้นไปเลย เป็นอาหารของมนุษย์เพราะมนุษย์เขาไปดักไว้ บ่วงของมารนี่ บ่วงของมารบ่วงของกิเลส เห็นไหม

แรงลม ลมพัด ลมร้อน ลมชุ่มชื้น มันพัดหัวใจนี่สั่นไหวไปหมดเลย แต่ถ้าคนมีประสบการณ์ ดูสิ ชาวนาที่เขาผ่านวิกฤตมา ชาวนาที่เขาได้ทำนามาตั้งแต่เด็กจนโตขึ้นมานี่วิกฤตของเขาผ่านมาอย่างไร เขาขุดคลองของเขา เขาหาแหล่งน้ำของขา เวลาข้าวของเขาแห้งแล้งเขาเอาน้ำขึ้นมาหล่อเลี้ยงข้าวของเขา เวลาหน้าน้ำ มันเข้ามาในนา เขาก็ทดน้ำออกของเขา เขามีคันนาของเขากั้นน้ำของเขา ทดน้ำออกของเขา เขารักษานาของเขา เขาจะหาข้าวไว้เลี้ยงชีวิตของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติมีปัญญา กำหนดพุทโธของเรา ลมมันรุนแรงขนาดไหน ด้วยกิเลสด้วยวิชาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะพัดสั่นไหวอย่างไร เราก็ดูแลหัวใจของเราไง ดูแลไว้ทำไม? ดูแลไว้ นี่ชัยภูมิไง กองทัพมันจะรบ ดูสิสมัยสงคราม เห็นไหม สมัยที่เกิดสงครามเวลาไทยจะไปรบกับพม่าก็ต้องให้ทหารไปที่ทุ่งใหญ่ไปทำนา ต้องส่งหน่วยล่วงหน้าไปทำนาก่อน ไปสร้างเสบียงกรังไว้ แล้วกองทัพยกไป เวลาพม่าจะรบไทยก็ส่งหน่วยล่วงหน้ามาก่อน มาทำนาก่อนเหมือนกัน ทำนาก่อนแล้วเขาก็ยกกองทัพของเขามา เขาต้องมีของเขา นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามานี่ ชัยภูมิที่จะรบมันอยู่ที่ไหนล่ะ

นี่นักรบ..นักรบ..บวชมาจะรบๆ นี่ จะนักรบเขาก็หากองทัพรบกัน ไอ้นี่บวชขึ้นมาแล้วเราจะรบกับกิเลสในหัวใจของเรา ถ้าเราจะรบกับหัวใจของเราจะไปรบที่ไหน อ้าว! รบก็รบในตำราไง พระไตรปิฎกไง เปิดพระไตรปิฎกเลย นั่นศีล สมาธิ ปัญญา โอ้ย! มรรค ๘ โอ้ย! สุดยอด นี่ไม่รู้จักอ่ะ ไม่มีชัยภูมิ ไม่มีที่รบ แล้วเวลาจะไปรบๆ กับใคร

อ่านประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเป็นคนเขียน มันเป็นภูมิปัญญาของหลวงตา แล้วประวัติของใคร ประวัติของหลวงปู่มั่น แต่ภูมิปัญญาของใคร ภูมิปัญญาของหลวงตา แล้วเขียนไว้ทำไม อ้าว เขียนไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้เป็นคติได้เป็นแบบอย่าง แล้วศึกษามาเป็นคติเป็นแบบอย่าง เป็นแบบอย่าง แบบอย่างแล้วได้อะไร ก็ได้ขี้โม้ไง ได้ศึกษามาแล้วก็เอามาคุยอวดกันไง ว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นอย่างนั้น หลวงตาท่านเขียนถูกอย่างนั้น หลวงตาท่านเขียนดีอย่างนั้น เอามาขี้โม้ไง ได้ขี้โม้ไง เขาไม่ต้องการตรงนั้น

ปริยัติเขาศึกษามาให้ปฏิบัติ เขาต้องหาชัยภูมิของตัว หาใจให้เจอ ถ้าหาใจให้เจอเราทำสัมมาสมาธิ ลมแรง แรงลมมันจะพัดหวั่นไหวขนาดไหนมันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม มันเรื่องจริตนิสัย ใครทำมาเกิดทิฏฐิมานะ คนที่อารมณ์รุนแรงเวลามันพัดมันก็พัดแรง คนที่จิตใจนุ่มนวลเวลาลมพัดมันก็พัดไม่หวั่นไหวขนาดไหน แล้วมันก็อยู่ที่จริตนิสัยด้วย อยู่ที่นิสัยว่าคนมีสติปัญญาจะยับยั้งได้อย่างไร ถ้ามันยับยั้งได้ เห็นไหม เรายับยั้งความรุนแรงในใจของเรา ยับยั้งให้มันสงบเข้ามา สงบเข้ามานั้นน่ะชัยภูมิ

สถานที่รบ ถ้าสถานที่รบมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันรบขึ้นมานี่ นั่นมันสถานที่คนที่ไม่มีสถานที่ ดูสิ เราไม่มีที่ เห็นไหม จะไปอยู่ที่ไหนก็เช่าเขา นี่เป็นพระดีนะ ไปไหนก็แขวนกลดๆ อยู่ที่เรือนว่าง ไม่ต้องไปเช่าที่ใครซื้อที่ใคร ถ้าทางโลกเขานี่เขาไม่มีที่อยู่เขาจะอยู่ที่ไหน ก็นอนกลางถนนไง นี่คนไร้บ้านๆ ไปนอนอยู่ที่ไหน ก็นอนอยู่ตามชายคาบ้านคนน่ะ เพราะคนไร้บ้าน คนไร้บ้านมันไม่มีที่อยู่อาศัย ถ้าไม่มีที่ก็ต้องเช่า ถ้ามีปัจจัยขึ้นมาก็ต้องซื้อเป็นลิขสิทธิ์ของเรา เราก็ต้องปลูกบ้านปลูกเรือนของเราขึ้นมา เป็นที่อยู่อาศัยของเราขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรารักษาของเรา ใครทำความสงบของใจได้มีบ้านมีเรือนหลังหนึ่ง เป็นที่พักที่อาศัยจิตใจไม่เร่ร่อนจนเกินไปนัก เห็นไหม ชัยภูมิ มันมีชัยภูมิที่จะต่อสู้นะ นักรบจะไปรบกับใคร เวรกรรมของใครก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเขา เรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องของพระสารีบุตร เรื่องของพระโมคคัลลานะ ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่อง

แต่เวลาเราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง มีรัตนตรัย พระพุทธ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคือสัจธรรม แล้วพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอะไร ก็เป็นพระสงฆ์ นี่เป็นรัตนตรัยของเรา แล้วเป็นเรื่องอะไรของเราล่ะ เป็นรัตนตรัยของเรา เป็นคติเป็นแบบอย่าง แต่เราล่ะ เราล่ะ ถ้าเราจะเอาขึ้นมา เราต้องทำความสงบของใจเราเข้ามา มันจะเป็นของเรา ถ้าสติก็เป็นสติของเรา ถ้าเป็นสมาธิก็สมาธิของเรา ถ้าเกิดปัญญาก็เป็นปัญญาของเรา สิ่งที่ศึกษานี่เป็นสัญญาทั้งนั้น เป็นสัญญา เป็นทฤษฎี

ทฤษฎีศึกษามาจะรู้มากขนาดไหน รู้มาก เวลาปฏิบัติไปก็ทุกข์มาก มันรู้ไปก่อน มันรู้ไปก่อนมันสร้างไปก่อน ชัยภูมิไม่มีเลยนะ มันมีแต่พิมพ์เขียวว่าจะเป็นอย่างนั้นๆ พิมพ์เขียวก็ทฤษฎีไง พิมพ์เขียวก็ตำราไง มีแต่ตำราทั้งนั้นน่ะ ตำราก็คือตำรา ไม่ใช่ปฏิเสธตำรานะ ตำราศึกษาแล้วต้องวาง ปริยัติคือปริยัติ ปริยัติแล้วต้องปฏิบัติ เราศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษามาเป็นสมบัติของเรา มันไม่เป็นสมบัติของเราเลย ถ้าเรายังไม่ทำสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาจะไม่ใช่สมบัติของเราเลย

ถ้าเราทำเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา สติก็เป็นสติของเรา ถ้าสติของเรา โอ้! ลมมันไม่สามารถพัดให้หัวใจนี้สั่นไหวได้เพราะมีสติ ลมมันมีโดยธรรมชาติของมัน ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงของมัน เห็นไหม ลมค้า ลมต่างๆ มันพัดเปลี่ยนทิศทางของมันตลอดเวลา แล้วมันก็มีโดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น

นี่โลกธรรม ๘ ของเขา ธรรมะเก่าแก่เขามีอยู่อย่างนั้น เราปฏิเสธให้ไม่มีเป็นไปไม่ได้ แล้วปฏิเสธไม่มีเป็นไปไม่ได้แล้วเราจะดูแลอย่างไร เราก็ต้องดูแลใจเราไง ใจมันเป็นอะไร ใจมันเป็นนามธรรม แล้วใจเป็นนามธรรม สัญชาตญาณ เห็นไหม สัญชาตญาณ ดูสิเวลามันเสวยอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดมันมาจากไหน ความรู้สึกนึกคิดมันมาจากจิต ถ้าความรู้สึกนึกคิดมันมาจากจิต แล้วเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามา ศึกษาเป็นทฤษฎีขึ้นมาแล้วนี่ เห็นไหม เราฝึกหัดขึ้นมา เราพยายามเข้มงวดขึ้นมา ระลึกให้ได้ พอระลึกให้ได้มันก็เกิดสติขึ้นมา พอเกิดสติก็อยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆ พุทโธเพื่ออะไร ให้จิตมันเกาะคำบริกรรมไว้ไม่ให้มันส่งออกไปทั้งหมด

เห็นไหม ธรรมชาติมันส่งออกโดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของมันเป็นอยู่อย่างนั้น โลกเขาเป็นแบบนั้น วิทยาศาสตร์เขาเป็นแบบนี้ แต่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นทวนกระแสๆ เราจะทวนกระแสขึ้นมาเพราะเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะมีสติระลึกรู้นี่ กำหนดให้จิตมันตั้งมั่นจิตมีกำลังขึ้นมา ถ้ามีกำลังมันทวนกระแส ทวนกระแสไปที่ไหน โดยธรรมชาติเขาคิดโดยสมอง โดยธรรมชาติเขาวิจัยกันด้วยสมอง โดยสัญชาตญาณ นี่มันก็มีอยู่แค่นี้ โลกๆ มีอยู่แค่นี้ เราจะมีเชาวน์มีปัญญาขนาดไหน คนจะไบร์ทขนาดไหนก็มีแค่นี้ แต่ไม่รู้จักตัวเอง ถ้าวันไหนรู้จักตัวเองมันก็เศร้าคอตก รู้จักตัวเองก็มีสติปัญญา สามารถที่จะมีคำบริกรรมได้ ถ้าคำบริกรรมนี่พุทโธๆ ต่อเนื่องๆ เวลาจะสงบขึ้นมานะ เวลาจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา นี่เป็นปริยัติ นี่ปฏิบัติ

ปฏิบัติถ้าเข้าไปรู้น่ะมันทึ่งน่ะ พอมันทึ่งขึ้นมา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรมสูงๆ นะ ท่านจะคุยกันในหมู่ผู้รู้ ถ้าหมู่ผู้ไม่รู้ฟังแล้วมันเป็นดาบสองคม เขาฟังแล้วเขาไม่เข้าใจ นี่ภาษาสมมุติเพื่อสื่อเข้ามาสู่ธรรม แต่เขาจะสื่อไปสู่สมองของเขา สื่อไปสู่วิทยาศาสตร์ของเขา สื่อไปเพื่อหาหลักฐาน หาหลักฐานเพราะเขาไม่มีภูมิคุณธรรม เขาไม่มีคุณธรรม เขาไม่มีภูมิ เขาไม่มีภูมิเขาก็ไม่มีความรู้ ถ้าเขามีความรู้เขาจะสื่อไปที่ทฤษฎี สื่อไปเพื่อหาหลักฐาน หาหลักฐานมาเพื่อการยอมรับว่าจริงหรือไม่จริง เพราะเขาไม่มีภูมิรู้

คนไม่มีภูมิรู้ เห็นไหม แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่เขามีภูมิรู้ เวลาเขาคุยในหมู่ผู้รู้ เห็นไหม ธมฺสากจฺฉา เอมตฺมงฺตลมุตมํ คนที่มีภูมิมันพูดนี่เหมือนกันหมดน่ะ มันภูมิเดียวกัน ภูมิมันถึงกันมันพูดนี่มันรู้ แต่ภูมิมันไม่ถึงเวลามันพูดแล้วนี่มันจะหาหลักฐาน หาหลักฐานก็หากิเลสไง หาหลักฐานก็หาจริตนิสัยคนชอบไม่ชอบไง แล้วหาหมู่ชนไง หากลุ่มก้อนใครว่ามีความรู้ความเห็นอย่างไร มีทิฏฐิอย่างไร จะหาสิ่งนั้นมารองรับไง มันไม่หาความจริงรองรับนะ คนไม่รู้มันไม่หาความจริงรองรับ มันไปหากลุ่มชน ไปหาปัญญาชนไง ไอ้ปัญญาชนน่ะ ไอ้ชนดะ มันชนกับใครล่ะ มันไม่ได้ชนอะไรกับใครเลย มันไม่เห็นกิเลสเลย มันจะเอาอะไรไปชน มันไม่มีความรู้ไม่มีภูมิรู้ มันเอาอะไรไปชนน่ะ

ถ้ามันจะมีความรู้ เห็นไหม มีความรู้มันก็ต้องทำความสงบใจเข้ามา เห็นไหม นี่แรงลมจะแรงขนาดไหนนะ แรงของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แรงของพายุเวลามันพัดนี่ทำความสงบของใจได้ยากมาก แต่คนทำบ่อยครั้งเข้าๆ มีสติมีปัญญาขึ้นมา มีสติมีปัญญาขึ้นมาพยายามทำของเรา ขวนขวาย มันจะทุกข์มันจะยากนี่แลกมันมา แลกมา เราแลกมาด้วยความเพียรความวิริยะความอุตสาหะของเรา เห็นไหม เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่กิริยาของร่างกายทั้งนั้น

แต่กิเลสของร่างกาย เพราะว่าจิตใจมันอยู่ในนี้ไง เหมือนมันเป็นกรงขังไง ดูสิ กรงขังสัตว์ เห็นไหม ดูกรงขังหมา หมาอยู่ในกรง จิตใจมันอยู่ในกรงอยู่ในใต้ผิวหนังก็อยู่ในร่างกายนี่ แต่มันอยู่จริงหรือเปล่าล่ะ ทำไมความคิดมันส่งออกไปไกลเป็นพันๆ กิโลล่ะ อ้าว ความคิดมันไปไกลขนาดนั้น มันขังไม่อยู่ พอขังไม่อยู่แล้วจะทำอย่างไร ก็มันขังไม่อยู่ กรงสัตว์นี่ขังสัตว์ไว้ สัตว์มันอยู่ในกรงมันออกไม่ได้ คนมีเมตตาไปเปิดให้มันออกได้ สัตว์มันออกจากกรงนั้นได้ แต่ใจของคนความคิดของคนทั้งๆ ที่ใจอยู่ในร่างกายนี่ แต่ทำไมมันคิดออกไปเป็นพันๆ กิโล คิดออกไปเป็นจักรวาลมันคิดออกไปได้ มันคิดไปไหนล่ะ

นี่ไง เพราะมันส่งออกไง ธรรมชาติเขาเป็นอย่างนี้ นี่ธรรมชาติของธาตุรู้ ธาตุที่มีชีวิตมันมหัศจรรย์ นี่ไงฐีติจิตเวียนว่ายตายเกิด เกิดอย่างนี้ แล้วสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิบายอย่างนี้แล้วพยายามตั้งสติ มีคำบริกรรม เห็นไหม นี่ทั้งๆ ที่รั้งไว้ให้อยู่ในร่างกายนี้ ไม่ให้ออกจากผิวหนังนี้ไป เวลาคนเรานั่งอยู่นี่ก็คิดถึงกุฎิ นั่งอยู่นี่ก็คิดถึงที่อื่น ออกจากผิวหนังนี้ไป ออกจากผิวหนังเราไป เราไม่ได้ออกจากผิวหนังของเรา แล้วไม่ให้ออกจากผิวหนังทำอย่างไรล่ะ อะไรเป็นเครื่องรั้งไว้ คำบริกรรมไง พุทโธๆๆ

ใครเป็นคนคิดพุทโธล่ะ จิตเป็นคนระลึกขึ้นมา เพราะจิตระลึกขึ้นมาถึงพุทโธ ถึงมีพุทธานุสติ เพราะจิตมันเป็นคนบริกรรม เห็นไหม จิตมันบริกรรม อารมณ์ ถ้ามันไม่บริกรรมมันก็เป็นอารมณ์ อารมณ์มันก็คิดไป อารมณ์มันมีความรู้สึก มันชอบ นี่ไงอารมณ์โศกเศร้า อารมณ์เสียใจ อารมณ์คับแค้น อารมณ์ดีใจ อารมณ์ที่พอใจชอบๆๆ แต่พุทโธไม่ชอบ พุทโธไม่เอา อ้าว พุทโธพุทธานุสติไง ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไม่เอา ไม่เอา แต่ถ้าอารมณ์ที่มันพอใจ...ชอบ แล้วอารมณ์มันอยู่ไหนล่ะ

อารมณ์มันก็มีเหตุผลของมัน มันมีที่มาที่ไป อารมณ์ เห็นไหม คิดถึงคำจาบจ้วง คิดถึงคำไม่พอใจ คิดถึงๆ แล้วคนพูดมันไปไหนน่ะ คนพูดเขาพูดแล้วเขาก็ไปแล้ว ไอ้เรานี่แม่งยังดิ้นพล่านๆ อยู่นี่ แล้วชอบๆ แต่พุทโธไม่เอา พุทธานุสตินี่คำบริกรรม ถ้าพุทโธนี่ใครเป็นคนคิด ใครเป็นคนระลึกพุทโธ ก็จิต ถ้าจิตระลึกพุทโธนี่ความรู้สึกมันก็อยู่ที่พุทโธ พุทโธอยู่ที่ไหน เพราะใจมันเป็นคนตั้งมั่น ใจเป็นคนตั้งขึ้นมา มันก็อยู่ที่กลางหัวใจ แล้วกลางหัวใจมันออกจากผิวหนังไปไหม มันออกไหม มันไม่ออก มันไม่ออกแล้วมันดิ้นไหม มันดิ้นเพราะอะไร มันดิ้นเพราะว่านี่เวลาหมาเราขังเอาไว้ในกรง ถ้ามันไม่พอใจมันก็ดิ้นมันอยากออกมันตะกุยกรงของมัน เพราะมันอยากออกโดยสัญชาตญาณของหมา มันโดยเล่ห์กลของมัน มันบอกทำอย่างนี้แล้วเจ้านายจะคิดถึงมัน เจ้านายจะปล่อยมันออก

แต่ถ้าจิตล่ะ นี่จิตเวลามันพุทโธๆ ขังมันไว้ จะเอามันไว้ เอามันไม่อยู่ เอามันไม่อยู่เพราะอะไร เพราะมันเคยตัวไง เพราะมันเคยชินไง ความเคยชินนี่กิเลสคือความเคยใจ ใจมันเคยดิ้นรนอยู่อย่างนี้ ใจ เห็นไหม ใจมันดิ้นรนอย่างนี้ด้วยพญามาร มารครอบงำมันอยู่ ถ้าครอบงำมันอยู่นี่มันเคยออกหากินอย่างนี้มาตลอด แล้วแหม วันนี้ดีๆ จะมาขังฉัน ดีๆ จะมาดูแลฉัน วันดีๆ จะมาให้ฉันอยู่กับที่ มันดิ้นรนของมันทั้งนั้น มันไม่ยอมหรอก ถ้ามันไม่ยอมขึ้นมา เห็นไหม เราต้องมีกำลังต้องบังคับ ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ๆ ต้องบังคับ อ้าวบังคับมันก็เป็นกิเลสนะสิ ปฏิบัติเขาไม่เอากิเลส

บังคับมันเป็นขันติ ขันติธรรม ความมานะอดทน ความเพียรความวิริยะความอุตสาหะมันต้องมี เวลาไม่ทำอะไรเลย เวลามีกิเลสนะเวลามันชักไปทำชั่วร้ายนะ เวลามันชักเราไปทางเสียหายนะ อู๊ย สิ่งนี้ดีงามไปหมดเลย แต่เวลาเราจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราจะมีสติปัญญายับยั้งมันนี่ อู๊ย อย่างนี้เป็นกิเลส เวลามึงไปกับกิเลสมึงบอกว่าไม่เป็นกิเลสเลย เวลามึงจะสู้กับกิเลสบอกนี่เป็นกิเลส เวลากิเลสมันพาไป แหม ยิ้มแย้มแจ่มใสกอดคอกันไปเลย นั่นเวลาจะชำระล้างมัน อันนี้กิเลสนะ มันเป็นความอยากนะ มันเป็นความบังคับนะ มันเป็นกิเลสนะ... มันเป็นมรรค

ชาวนาที่เขาทำนามาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เขาจับจอบจับเสียมมาทั้งชีวิต เขาถึงได้ข้าวปลาอาหารมาเพื่อดำรงชีวิตของเขา นักรบนักปฏิบัติขึ้นมาไม่มีสติไม่มีปัญญาบังคับกันเลย ไม่มีการกระทำมันเลย จิตมันเคยตัว จิตมันเคยใจ กิเลสมันข่มขี่มาตลอด ไปตามอำนาจของกิเลสตลอด จนมีสติมีปัญญาได้มาบวชมาเรียน ได้มาประพฤติปฏิบัติ ได้ฝึกหัดสติขึ้นมา มันจะมีสติขึ้นมายับยั้งบ้าง มันเป็นนี่ ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติเป็นทางเดิน เป็นทางเดินของจิตให้จิตมันหัดก้าวเดินออกไป ถ้าจิตมันก้าวเดินออกไปก็บอกว่าต้องให้จิตอยู่ในผิวหนัง ไม่ให้มันออกไปแล้วมันจะออกไปได้อย่างไร ก็บอกไม่ให้มันออกไปอยู่แล้ว ออกไปนี่มันออกไปรับรู้โลกธรรม ๘ ไอ้ที่ว่าก้าวเดินออกไปก้าวเดินเป็นทางธรรม เป็นมรรคโคเป็นทางเดินของใจ ไม่ใช่ก้าวเดินออกไปจากผิวหนัง ใจมันจะก้าวเดิน มันจะพัฒนาของมัน เหมือนชาวนาเขาทำนาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เขามีประสบการณ์ของเขา ถึงจะเกิดภัยพิบัติทุกข์วิบัติขนาดไหน มันเป็นเพราะธรรมชาติ แต่คนที่มีสติปัญญาเขาก็พยายามแก้ไขวิกฤติของเขา เพื่อให้มีข้าวปลาอาหารมาดำรงชีวิตของเขา

นักปฏิบัติเขาต้องมีสติปัญญาดูแลหัวใจของผู้ที่ปฏิบัตินั้น ผู้ที่ปฏิบัตินั้นถ้าจิตใจมันไม่ยอมกระทำ จิตใจที่มันกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะพาแต่ออกไปเรื่องตัณหาความทะยานอยาก มันพอใจของมัน เราก็บังคับ บังคับเพื่อจะต่อสู้กับมัน บังคับ เห็นไหม ดูสิ จะต่อสู้กับเสือต้องมีอาวุธ อาวุธก็คือสติ อาวุธก็คือสมาธิ อาวุธก็คือปัญญา เราต้องมีสติ มีสมาธิ มีปัญญาต่อสู้กับมัน ถ้าต่อสู้กับมัน เห็นไหม นี่ชัยภูมิ ถ้าจิตมันสงบมันมีชัยภูมิ นักรบๆ

ศากยบุตรพุทธชิโนรสเป็นนักรบ นี่รบกับใคร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ารบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม แค่มันสงบตัวลงมา จิตตั้งมั่นๆ ถ้าจิตตั้งมั่นมันก็มีอาวุธแล้ว นั้นล่ะคือสัมมาสมาธิ จะต่อสู้กับพญามาร ต่อสู้กับมาร ปู่ของมาร พ่อของมาร ลูกของมาร หลานของมาร จะต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับมันด้วยมรรค เห็นไหม นี่ศากยบุตรพุทธชิโนรส นักรบๆ เราบวชมานักรบ

โลกเขารบกันเขารบกันด้วยกองทัพ รบกันด้วยอาวุธ เขาต้องซื้อมา เขาต้องสร้างสถานการณ์มาให้ชาติที่มันต่ำต้อยต้องไปซื้ออาวุธ เห็นไหม เขาจะหลอกขายอาวุธนะ ไอ้ชาติต่ำต้อยมันก็ไปซื้ออาวุธกัน การเมืองก็ทำให้มันขัดแย้งกัน ขัดแย้งแล้วก็ไปซื้ออาวุธมาเพื่อจะรบกัน ยิ่งรบกันไอ้พวกขายอาวุธมันก็ร่ำรวย เห็นไหม แต่เราจะรบกับกิเลส เราไม่ต้องไปซื้อมาจากใคร เราพยายามขวนขวายมาจากสติปัญญา เราขวนขวายมาในหัวใจของเรา

ดูสิ แม้แต่ตู้พระไตรปิฎกธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาแล้วก็ให้วางไว้ ศึกษานี่เป็นสัญญาทั้งหมด อันนี้มันเป็นแปลงของเครื่องมือ มันเป็นของอาวุธ เครื่องบินมันก็มีวิธีการประกอบเครื่องบิน เห็นไหม แต่เครื่องบินยังไม่มีสักลำหนึ่งเลย นี่ก็เหมือนกันศีล สมาธิ ปัญญา เราจะสร้างขึ้นมาให้เป็นเครื่องบินรบในหัวใจของเรา จะต่อสู้กับกิเลสจะต่อสู้กับพญามาร เราสร้างของเราสิ เราทำของเราขึ้นมาสิ มันเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม

ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา นี่นักรบ ถ้าเรามีอาวุธขึ้นมาจะรบกับใคร แล้วรบกับใคร เห็นไหม เราก็มีสติมีปัญญา สติปัญญามันก็ไปยับยั้ง แรงลมไง แรงลม ลมร้อน ลมพายุ เห็นไหม แรงลมมันพัด พัดให้หัวใจนี้สั่นไหว ในการบวชเป็นประเพณี บวชมาเพื่อศึกษาศีลธรรมจริยธรรมว่าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร นี่ศึกษามาศึกษามาเป็นทฤษฎีทั้งนั้น แต่ถ้าบวชเป็นภาคปฏิบัติ เห็นไหม นี่เราทำจริงๆ เลย สิ่งที่ศึกษามาศึกษาเป็นทฤษฎีทั้งนั้น

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน มรรคญาณ เครื่องดำเนินต่างๆ สอนมาทั้งนั้น ศีลธรรมจริยธรรมก็เกิดขึ้นมาจากจริตนิสัย แต่นี่เราแก้ไขเลย เราทำเลย ตัวให้ใจเป็นศีล ตัวใจเป็นศีลขึ้นมาเลย แล้วตัวใจนี่ศีลธรรมจริยธรรม เห็นไหม ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมามันเกิดมรรค เกิดสมาธิ เกิดปัญญา โอ๊ย มันซาบซึ้งไง

อาวุธขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสุดยอดขนาดนี้ เกิดมาเป็นนักรบน่ะ ถ้ามีเงินมีทองไปซื้ออาวุธเขามา ต้องหาเงินหาทองมาน่ะทุกข์ยากขนาดนั้น เวลาออกไป ถ้าออกไปเป็นฆราวาสขึ้นมาก็ต้องหาเงินหาทองขึ้นมาเพื่อดำรงชีวิต แต่เวลาเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา สิ่งนี้เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ผู้ที่เขาเห็นผลประโยชน์เห็นบุญกุศล เขาต้องการทำบุญกุศลของเขา เราเป็นเนื้อนาบุญของเขา เราบิณฑบาตของเขามาฉันเพื่อดำรงชีวิตแล้วเราก็ใช้ปัญญาของเราจะต่อสู้กับกิเลสของเรา แสวงหาชัยภูมิขึ้นมาให้ในหัวใจของเรา คือจิตมันสงบแล้วมันมีชัยภูมิของมันขึ้นมา แล้วก็มีการรบ รบด้วยอะไร รบด้วยมรรค ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ด้วยเกิดอริยสัจ สัจจะความรบขึ้นมา ถ้ารบ วิธีการรบ เห็นไหม

ดูสิ พระเจ้าพิมพิสารบอกเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าปฏิบัติรู้จริงแล้วให้มาสั่งสอนด้วย นี่ก็เหมือนกัน เรานักรบ เรารบกับกิเลส ถ้าเรามีสัจธรรมขึ้นมา วิธีการการรบอันนี้ ประชาชนสังคมเขาสนใจ ประชาชนสังคมเขาต้องการตรงนี้ไง ต้องการบอกว่า “บอกฉันที บอกฉันที” ครูบาอาจารย์ช่วยบอกที จะทางลัดสั้น จะไปอย่างไรนี่ ทางลัดสั้นก็จะกอดกันลงนรกไง

ถ้าทางความเป็นจริง ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านจะสอนถึงความเป็นจริง ใครมีอำนาจวาสนาบารมีขนาดไหน พยายามทำของเราขึ้นมา แรงลม พายุ แรงลมภัยแล้งต่างๆ ที่มันพัดให้หัวใจสั่นไหวนี่ เราพยายามรักษาดูแลหาชัยภูมิเราให้ได้ ถ้าหาชัยภูมิได้แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมานะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ใครจะปฏิบัติขนาดไหน จะวิธีการใดก็แล้วแต่ ถ้าปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่มันจะเป็นช่องทางเดียวกัน อริยสัจมีหนึ่งเดียวเท่านั้น อริยสัจคือความจริงอันเดียวไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ จะไม่บอกว่าอริยสัจขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างหนึ่ง พระที่ปฏิบัติเขารู้จริงเป็นอย่างหนึ่ง ของฉันนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ของฉันของพิเศษ ก็พิเศษจะลงอเวจีไง มันไม่ใช่พิเศษตามความเป็นจริง ก็เราตั้งขึ้นมามันจะพิเศษได้อย่างไร

สัจจะคือสัจจะ แดดมันออกมันก็ร้อน เห็นไหม นี่เวลารูปกาลมันเปลี่ยนแปลงไปทั้งชุมชนนั้นมันต้องเหมือนกันหมด เห็นไหม แดดมันร้อนไปหมดเลยบ้านฉันเย็นอยู่บ้านเดียวเท่านั้นล่ะ บ้านฉันเย็นบ้านฉันก็เอาน้ำแข็งพอกไว้ไง มันไม่มีอยู่จริง ถ้ามันจะเป็นจริงมันต้องเป็นความจริงของมัน มันจะบอกว่าฉันเย็นอยู่คนเดียวไม่มีหรอก มันจะเป็นสัจจะ สัจจะอันเดียวกัน ถ้าทำได้เหมือนกันมันก็เป็นเหมือนกัน สัจจะเหมือนนั้น

นักรบรบอย่างนี้ รบกับเรา เรารบเพื่อชีวิตของเรานะ เห็นไหม ถ้าเราเป็นพระต้องฟังธรรม คำว่า “ฟังธรรม” ถ้าเราไม่มีให้ฟังฟังที่ไหน แต่ถ้ามีขึ้นมานี่ฟังธรรมเพื่ออะไร ตอกย้ำหัวใจเราไง พิสูจน์กันไง นักรบกับนักรบด้วยกัน ถ้าเรามีอาวุธก็มีอาวุธเหมือนกัน ถ้านักรบถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องมีศีลสมาธิปัญญาเหมือนกัน ถ้าเรายังไม่มี ไม่มีครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้นำต้องบอก ต้องบอก! บอกเพื่อให้เราฝึก บอกเพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติ บอกให้เรามีความจริงขึ้นมา บอกทางๆ บอกทางให้เราเป็นขึ้นมาได้

นักปฏิบัติเป็นแบบนี้ รบจริงๆ รบกับเราให้มันเป็นจริงขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา จะรู้จริงในใจของเรา นี่แรงลม ลมแรงอย่างไร มันพัดขนาดไหน เราเป็นผู้ที่มีสติมีปัญญา เราแยกแยะของเรา หาช่องทางของเราไป แล้วถึงที่สุดนะ ถ้าเราปฏิบัติของเราต่อเนื่องไป ต่อเนื่องไป เห็นไหม ถ้ามีอำนาจวาสนาเราจะได้ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าอำนาจวาสนาของเรายังไม่ถึง เราจะทำให้ภพชาติของเราสั้นเข้า

คนมีบุญมีกุศลเป็นที่พึ่งอาศัย คนมีบุญมีกุศลไปกับหัวใจนี้ มันจะทำให้หัวใจนี้มันมีวาสนามากขึ้น ปฏิบัติมากขึ้น สร้างบารมีให้ใจดวงนี้เข้มแข็งขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง